เมื่อเราเลือกที่ดิน ที่จะปลูกสร้างบ้านได้แล้ว และ กำลังมองหาแบบบ้าน ขนาดพอเหมาะกับเงินที่เราสะสมไว้ เพื่อไม่ให้งบบานปลาย ดั่งคำโบราณกล่าวไว้ว่า “ปลูกเรือนแต่พอตัว หวีหัวแต่พอเกล้า” หรือ “นกน้อยทำรังแต่พอตัว” นั้นสิ่งที่ควรคำนึงถึงมีอะไรบ้างในการเลือกแบบบ้าน
Frank Lloyd Wright's masterpiece house above the falls
Picture from : http://www.wright-house.com/frank-lloyd-wright/fallingwater.html
1. ก่อนอื่นต้องคำนวณขนาดของบ้าน จากพื้นที่ใช้สอยภายในที่เราต้องการจริง เช่น ห้องนอน(กี่ห้อง),ห้องน้ำ(กี่ห้อง),ห้องรับแขก ,ส่วนทานอาหาร,ห้องครัว,ระเบียงหรือชานต่างๆ เมื่อรวมแล้วได้พื้นที่เท่าไร ก็ให้คูณด้วยราคาค่าก่อสร้าง ซึ่งเบื้องต้นเราใช้งบประมาณ ช่วง 12,000-15,000 บาทต่อตารางเมตร เพื่อให้รู้ว่าเราควรจะเพิ่มหรือลด ขนาดของบ้าน แต่อย่าลืมเผื่องบด้านอื่นๆด้วยนะ เช่น ค่าถมที่,รั้วโดยรอบ,ค่าตกแต่งภายในพร้อมเฟอร์นิเจอร์ และ ค่าจัดสวน(ถ้ามี) เป็นต้น เมื่อได้ทราบขนาดของบ้าน พร้อมงบประมาณแล้ว จะได้เริ่มเลือกแบบบ้าน ให้เหมาะสมกันต่อไป
2. เลือกแบบบ้านให้เหมาะสมกับรสนิยม และ การใช้งาน (Style & Function) ซึ่งบริษัทฯรับสร้างบ้านต่างๆจะมีแบบให้เลือกมากมาย ให้ลองจินตนาการว่า ถ้าเราได้เข้าไปอยู่แล้ว ตำแหน่งของห้อง กับ ทิศทางของแสงแดดในช่วงเช้า-บ่าย และ ทิศทางลม เป็นอย่างไร ถ้านำไปปลูกบนที่ดินของเรา ซึ่งสิ่งสำคัญในการเลือกแบบบ้าน เราต้องรู้ว่าตำแหน่งทิศหน้าบ้าน ของเราก่อน (จากบทความที่แล้ว ผมแนะนำให้เลือกซื้อที่ดิน ที่ให้อยู่ในแนวตะวันออก-ตก) เราจะมาลองวิเคราะห์แบบบ้าน 2 ชั้น แบบหนึ่ง โดยจะใช้เพียงแบบเดียวแต่จะเพิ่มแบบกับด้าน มาร่วมพิจารณาด้วยกัน ถ้าการหันทิศหน้าบ้าน ที่แตกต่างกัน ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร พิจารณาร่วมกันดูนะครับ
2.1 บ้านหันหน้าทิศใต้ หรือ ที่โบราณกล่าวไว้ว่า “ปลูกบ้านขวางตะวัน”
แบบที่ 2.1.1. แบบมาตรฐาน
ห้องรับแขก,ห้องทานอาหาร และ ห้องนอนใหญ่ – จะได้รับแสงแดดช่วงเช้า และจะร่มในตอนบ่าย แต่จะอับลมในช่วงเดือน มี.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วง ฤดูร้อน-ฝน โดยเฉพาะห้องนอนใหญ่ จะได้รับไอความร้อนจากหลังคาโรงรถเพิ่มอีก ในช่วงบ่าย และ ในช่วงหัวค่ำ ส่วนชั้นล่าง อาจจะได้กลิ่นจากห้องน้ำบ้าง เพราะตำแหน่งอยู่ต้นลมพอดี
ห้องครัว ,ห้องนอน2 และ ห้องนอน3 –ช่วงบ่ายจะร้อนเพราะอยู่ด้านทิศตะวันตก แต่จะค่อยๆเย็นสบายขึ้นในตอนกลางคืน เพราะมีลมมรสุมมาช่วย
หมายเหตุ : อาจจะต้องเปลี่ยนตำแหน่งหัวเตียงใหม่ เพราะหันทิศตะวันตก
แบบที่ 2.1.2. แบบกลับด้าน
ห้องรับแขก,ห้องทานอาหาร และ ห้องนอนใหญ่ – ช่วงบ่ายจะร้อนเพราะอยู่ด้านทิศตะวันตก แต่จะค่อยๆเย็นสบายขึ้นในตอนกลางคืน เพราะมีลมมรสุมมาช่วย
ห้องครัว ,ห้องนอน2 และ ห้องนอน3 – จะอับลมในช่วงเดือน มี.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วง ฤดูร้อน-ฝน โดยเฉพาะห้องนอน2 จะได้รับไอความร้อนจากหลังคาโรงรถเพิ่มอีก ในช่วงบ่าย และ ในช่วงหัวค่ำ
2.2 บ้านหันหน้าทิศตะวันตก (ซึ่งบางคนไม่ชอบ แต่ลองพิจารณาดูนะครับ)
แบบที่ 2.2.1. แบบมาตรฐาน
ห้องรับแขก,ห้องทานอาหาร และ ห้องนอนใหญ่ – จะได้รับแสงแดด เพียงเล็กน้อย ช่วงเดือน พ.ย.-ก.พ. (ตะวันอ้อมใต้ หรืออ้อมข้าว) ห้องทั้ง 3 รับลมมรสุมได้ดี
ห้องครัว ,ห้องนอน2 และ ห้องนอน3 – จะอับลมในช่วงเดือน มี.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วง ฤดูร้อน-ฝน โดยเฉพาะห้องนอน2 จะได้รับไอความร้อนจากหลังคาโรงรถเพิ่มอีก ในช่วงบ่าย และ ในช่วงหัวค่ำ
แบบที่ 2.2.2. แบบกลับด้าน
ห้องรับแขก,ห้องทานอาหาร และ ห้องนอนใหญ่ – จะอับลมในช่วงเดือน มี.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วง ฤดูร้อน-ฝน โดยเฉพาะห้องนอนใหญ่ จะได้รับไอความร้อนจากหลังคาโรงรถเพิ่มอีก ในช่วงบ่าย และ ในช่วงหัวค่ำ ส่วนชั้นล่าง อาจจะได้กลิ่นจากห้องน้ำบ้าง เพราะตำแหน่งอยู่ต้นลมพอดี
ห้องครัว ,ห้องนอน2 และ ห้องนอน3 – จะได้รับแสงแดด เพียงเล็กน้อย ช่วงเดือน พ.ย.-ก.พ. (ตะวันอ้อมใต้ หรืออ้อมข้าว) ห้องทั้ง 3 รับลมดี
2.3 บ้านหันหน้าทิศเหนือ หรือ ที่โบราณกล่าวไว้ว่า “ปลูกบ้านขวางตะวัน”
แบบที่ 2.3.1. แบบมาตรฐาน
ห้องรับแขก,ห้องทานอาหาร และ ห้องนอนใหญ่ – ช่วงบ่ายจะร้อนเพราะอยู่ด้านทิศตะวันตก แต่จะค่อยๆเย็นสบายขึ้นในตอนกลางคืน เพราะมีลมมรสุมมาช่วย
ห้องนอน2 – จะอับลมในช่วงเดือน มี.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วง ฤดูร้อน-ฝน
แบบที่ 2.3.2. แบบกลับด้าน
ห้องรับแขก,ห้องทานอาหาร และ ห้องนอนใหญ่ – จะได้รับแสงแดดช่วงเช้า และจะร่มในตอนบ่าย แต่จะอับลมในช่วงเดือน มี.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วง ฤดูร้อน-ฝน อาจจะได้กลิ่นอาหารจากห้องครัว เพราะตำแหน่งอยู่ต้นลมพอดี
ห้องครัว ,ห้องนอน2 และ ห้องนอน3 –ช่วงบ่ายจะร้อนเพราะอยู่ด้านทิศตะวันตก แต่จะค่อยๆเย็นสบายขึ้นในตอนกลางคืน
หมายเหตุ : อาจจะต้องเปลี่ยนตำแหน่งหัวเตียงใหม่ เพราะหันทิศตะวันตก
2.4 บ้านหันหน้าทิศตะวันออก (น่าจะดีที่สุด แต่ลองพิจารณาดูนะครับ)
แบบที่ 2.4.1. แบบมาตรฐาน
ห้องรับแขก,ห้องทานอาหาร และ ห้องนอนใหญ่ – จะอับลมในช่วงเดือน มี.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วง ฤดูร้อน-ฝน ส่วนชั้นล่าง อาจจะได้กลิ่นอาหารจากห้องครัว เพราะตำแหน่งอยู่ต้นลมพอดี
ห้องครัว ,ห้องนอน2 และ ห้องนอน3 – จะได้รับแสงแดด เพียงเล็กน้อย ช่วงเดือน พ.ย.-ก.พ. (ตะวันอ้อมใต้ หรืออ้อมข้าว) ห้องทั้ง 3 รับลมดี
แบบที่ 2.4.2. แบบกลับด้าน (น่าจะถือเป็นแบบที่ดีที่สุด สำหรับทิศหน้าบ้านแบบนี้)
ห้องรับแขก,ห้องทานอาหาร และ ห้องนอนใหญ่ – จะได้รับแสงแดด เพียงเล็กน้อย ช่วงเดือน พ.ย.-ก.พ. (ตะวันอ้อมใต้ หรืออ้อมข้าว) ห้องทั้ง 3 รับลมมรสุมได้ดี กลิ่นจากห้องครัว และห้องน้ำก็ไม่มี
ห้องนอน2 – จะอับลมในช่วงเดือน มี.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วง ฤดูร้อน-ฝน
จึงถือว่าแบบบ้าน(แบบกลับด้าน) หลังนี้เป็นแบบที่ดีที่สุด สำหรับทิศหน้าบ้านแบบนี้ เพราะมีจุดบอดน้อยที่สุด ในเหตุและผลที่ เราได้ช่วยกันพิจารณา (นี่แค่แบบบ้าน แบบเดียวนะครับ)
ผมคิดว่า หลายท่านที่ได้ อ่านบทความนี้แล้ว น่าพอจะมีพื้นฐานในการเลือก และ วิเคราะห์แบบบ้านได้บ้างแล้ว ลองเอาหลักการนี้ไปใช้นะครับ หรือ เอาไปใช้กับการเลือกแปลงที่ดินพร้อมแบบบ้าน ของโครงการจัดสรรตามหมู่บ้านต่างๆ ก็ได้นะครับ โดยอาจเลือกจากแปลงที่หันหน้าทิศตะวันออกก่อน
หมายเหตุ : มีข้อยกเว้นสำหรับที่ดิน ที่อยู่ใกล้ชายทะเล ประการหนึ่งคือ เรื่องทิศทางลม ให้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่อง ลมบก-ลมทะเล ประกอบกันด้วยนะครับ
(ช่วยแนะนำให้เพื่อน หรือ ญาติที่กำลังจะสร้างบ้าน หรือ ซื้อบ้านได้ทราบถึงข้อมูลเหล่านี้บ้าง ถือว่าเป็นวิทยาทานอีกอย่างหนึ่งครับ)
หน้าที่เข้าชม | 174,713 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 128,547 ครั้ง |
เปิดร้าน | 3 พ.ค. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 20 ต.ค. 2568 |