การเลือกวัสดุ
เสาเข็ม เสาเข็มโดยทั่วไปที่ใช้กันแพร่หลาย โดยพิจารณานำมาใช้กันขึ้นอยู่กับประเภทของอาคารที่จะปลูกสร้าง ซึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน เรามารู้จักประเภท และข้อดีข้อเสียกันก่อนที่จะสรุปว่าจะเลือกเข็มประเภทใด ที่เหมาะสมกับบ้านหรืออาคาร
1. เสาเข็มตอก (Driven Per east Concrete or Prostheses Concrete Pile)
เป็นเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือคอนกรีตเสริมเหล็กแบบ Pre-stress มีข้อดีข้อเสียคือ
ข้อดี
- ตรวจสอบคุณภาพโครงสร้างในเสาเข็มได้ก่อนตอกเข็ม
- เพิ่มความหนาแน่นของดิน เนื่องมาจากการตอกเสาเข็ม ทำให้เพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนักด้วย
- ไม่มีผลกระทบต่อวิธีก่อสร้างจากน้ำใต้ดิน
- สามารถใช้เสาเข็มยาวได้
- มีหลายขนาดให้เลือกตามท้องตลาด
ข้อเสีย
- ทำให้เกิดความสั่นสะเทือน เนื่องมาจากการตอกเสาเข็ม และเป็นผลทำให้เกิดการยกตัวสูงขึ้นของผิว ดินใกล้เคียง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อโครงสร้างในบริเวณนั้นได้
- ทำให้เกิดความเสียหายต่อเสาเข็ม ถ้าหากตอกเข็มแรงเกินไป
- มีผลกระทบต่อโครงสร้างของเสาเข็ม อันเนื่องมาจากการตอกเข็ม และตำแหน่งที่ยกเสาเข็มคือ แรงพยุงใต้เสาเข็มที่กระทำต่อเสาเข็ม
2. เสาเข็มเจาะ (Driven and Cast in Place) โดยการตอกแบบหล่อลงไปในดินก่อนเทคอนกรีต มีข้อดีข้อเสียคือ
ข้อดี
- ปรับแก้ความยาวของเสาเข็ม อันเนื่องมาจากการตอกเสาเข็ม และโมเมนต์ที่เกิดจากตำแหน่งที่ยกเสาเข็มขึ้น
- ไม่มีผลกระทบต่อเสาเข็มจากน้ำใต้ดิน เนื่องมาจากแบบหล่อที่ตอกลงไปก่อนเทคอนกรีต
- ลดความสั่นสะเทือน และเสียงดังที่เกิดขึ้นได้
- เพิ่มความหนาแน่นของดิน ประเภทที่รองรับเสาเข็มได้โดยการขยายปลายเสาเข็ม (Enlarged Base) ทำให้เพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนัก
- กรณีที่ใช้เข็มเจาะแบบแห้ง สามารถเจาะในสถานที่ที่แคบได้ ความสูงสุดต่ำ 2.5-3 เมตร ระยะห่างจากโครงสร้างเก่าหรือสิ่งกีดขวาง > 50 เซนติเมตร สามารถดำเนินการเจาะได้
ข้อเสีย
- ไม่สามารถตรวจสอบความแข็งแรงของคอนกรีตได้
- ทำให้ผิวดินข้างเคียงยกตัวสูง อาจมีผลกระทบกระเทือนต่อโครงสร้างในบริเวณนั้นได้ ซึ่งอาจเป็นเพียงรอยร้าว หรือเกิดความวิบัติในโครงสร้างได้
- ไม่เหมาะสมสำหรับโครงการที่มีพื้นที่จำกัด จนแท่นเจาะเข้าประกอบติดตั้งไม่ได้
3. เสาเข็มไม้ (Timber Pile)
ข้อดี
- เป็นเสาเข็มที่มีน้ำหนักเบา ง่ายต่อการขนส่ง และยกขึ้น
ข้อเสีย
- กรณีอยู่ในที่แห้งจะผุได้ง่าย
เทคนิคการเลือกวัสดุโครงสร้าง
1. เสาเข็ม - เทคนิคในการเลือกใช้วัสดุคำนึงถึงสถานที่ก่อสร้าง โซนต่างๆ การเลือกใช้จะต้องคำนึงถึงที่ดินแต่ละพื้นที่ โดยการสอบถามสำนักงานเขตเรื่องความลึกของชั้นดิน
2. คำนึงถึงเส้นทางเข้า-ออก‚ คดเคี้ยว‚ ความกว้างของถนน‚ เพดานความสูงต่างๆ
3. คำนึงถึงขนาดของที่ดิน และอาคารข้างเคียง ติดกับสถานที่ก่อสร้างหรือไม่
4. อาคารข้างเคียงแข็งแรงหรือไม่
5. น้ำหนักของอาคารมากน้อยเพียงไร วิศวกร.....
6. น้ำหนักของตุ้มสมดุลกับเสาเข็มหรือไม่ (กรณีเข็มตอก) โดยทั่วไปใช้ 2.5 เท่าของน้ำหนักเสาเข็ม
7. กรณีเข็มเจาะ ตรวจสอบเรื่องจำนวนเหล็กแกนอื่น‚ ส่วนผสมคอนกรีต‚ ขนาดเหล็กปลอก‚ ความยาวเหล็กตลอดเสาเข็มหรือไม่
8. เหล็กโรงเล็ก หรือโรงใหญ่
9. แผ่นพื้น (PS) จะต้องเลือกใช้ตามแบบกำหนดขนาดความสัมพันธ์ กับจำนวนเหล็กเสริม
วัสดุพื้นผิว
การเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกับการใช้งาน ก่อนอื่นต้องศึกษาเรื่องคุณสมบัติของวัสดุก่อนนำมาติดตั้ง เนื่องจากวัสดุมีหลายประเภท เช่น วัสดุสังเคราะห์ ‚ วัสดุธรรมชาติ ‚ วัสดุเฉพาะ ที่ผลิตเพื่อใช้งานเฉพาะทาง ในส่วนของพื้น สามารถแยกประเภทได้ 3 ประเภทดังนี้
1. พื้นชั้น 1 ภายใน กรณีท้องคานเสมอผิวกัน ไม่มีช่องระบายอากาศ ควรเลือกใช้วัสดุสังเคราะห์ ประเภทเซรามิค ‚ หินแกรนิต ‚ หินอ่อน หรือหินธรรมชาติ ที่ผิวเรียบ เพื่อกันชื้น ไม่ควรใช้วัสดุประเภทไม้จริง ‚ ลามิเนต ‚ ไม้แผ่นต่างๆ เนื่องจากธรรมชาติของคอนกรีตจะดูดความชื้นสะสม จะทำให้พื้นผิว โก่งตัว บิดงอ ซึ่งกรณีใช้วัสดุประเภทไม้ควรยกพื้นให้สูง และมีช่องระบายความชื้นถ่ายเทได้ดีจะลดปัญหาได้
2. พื้นชั้น 1 ภายนอก ควรเลือกวัสดุประเภทธรรมชาติ และประเภทเซรามิคที่พื้นผิวมีความขรุขระ เพื่อป้องกันการลื่น หรือใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติ ทนทานความร้อน / ผิวแข็ง และไม่ยืดหด ตามมาตรฐานผู้ผลิตแนะนำ บางครั้งเลือกเพราะความสวยงาม ไม่ได้นึกถึงคุณสมบัติในการใช้งาน ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงวัสดุอยู่บ่อย ๆ (สิ้นเปลือง‚ เสียเวลา)
3. พื้นชั้นบน ควรเลือกวัสดุพื้นผิวให้สอดคล้องกับการใช้งาน เช่น ห้องพระควรเป็นเซรามิค‚ กระเบื้องเคลือบต่างๆ ‚ หินอ่อน ‚ หินแกรนิต ก็ใช้ได้ ไม่ควรเป็นพื้นไม้ เนื่องจาก เมื่อจุดธูปเทียนทิ้งไว้ อาจเกิดอัคคีภัยได้ ส่วนห้องนอนห้องโถง สามารถเลือกใช้ตามจุดประสงค์ของลูกค้าได้ เช่น ไม้แท้‚ ไม้เทียม ‚เซรามิคต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ
เทคนิคการเลือกวัสดุพื้นผิว
1. เลือกวัสดุเหมาะสมกับการใช้งานภายนอก‚ ภายใน ขีดจำกัดการใช้
2. เลือกวัสดุเหมาะสมกับการใช้สอย‚ วัสดุผิวพื้น
3. ส่วนแห้ง‚ ส่วนเปียก‚ ภายนอก-ภายใน‚ โดนแดด‚ โดนฝน ตลอดเวลา การเลือกใช้แต่ละประเภทจะต้องทนทานตามสภาวะการใช้งานจริง
4. เทคนิคขั้นตอนการติดตั้ง / ราคาค่าแรง
5. เลือกขนาดวัสดุที่ใช้ขนาดใกล้เคียงกัน ไม่ควรคละกันมากเกินไป ความหนาวัสดุมีความสำคัญ ผลงานที่ออกมาจะไม่เรียบร้อย
6. วัสดุที่ใช้ควรเป็นยี่ห้อเดียวกัน ไม่ควรใช้หลายยี่ห้อในโซนเดียวกัน (เช่น กระเบื้องพื้น และผนัง)ยี่ห้อกระเบื้องพื้น-ผนัง ‚หินทราย ‚ เคนซายน์ ‚ โมเสค และอื่นๆ โดยทั่วไปมีดังนี้
COTTO ‚ SOSUCO ‚ DURAGRES ‚ T TOUCH ‚ RCI ‚ KERA ‚ CENTURY ‚ CPAC ‚ GLASCERA ‚ IMEX D?COR ‚ PORCELANOSA ‚ MELANN ‚ SHERA D?COR STONE ‚ UMI ‚ KENZAI ‚ PLATINUM ‚ CAMPANA ‚ TITANIUM ‚ ROYAL ASIAN ‚ ลีลา ‚ สยามอาร์ต ‚ ไดนาสตี้ จระเข้ เป็นต้น
แหล่งซื้อ : บุญถาวร ‚ โฮมโปร ‚ ไดนาสตี้ ‚ ร้านค้าวัสดุทั่วไป และอื่น ๆ
ยี่ห้อพื้นลามิเนต มีดังนี้
LeoWood ‚ Galant ‚ Kronotex ‚ Voringer ‚ Hoffen ‚ Hoftex ‚ Pergo ‚ Robina ‚ Hafele ‚ Power Dekero เป็นต้น
แหล่งซื้อ : ตัวแทนจำหน่ายทั่วไป
การเลือกวัสดุ วงกบ และกรอบบาน
การเลือกวัสดุส่วนที่เป็นวงกบ และกรอบบาน จริงๆ แล้ว เจ้าของบ้านเป็นผู้จัดเลือกและวางสเปค ได้ตั้งแต่คิดจะปลูกบ้านแล้ว โดยทั่วไปเจ้าของบ้านจะปลูกจิตสำนึกมาจากบ้านหลังเก่า ที่บรรพบุรุษปลูกไว้แต่ดั้งเดิม ก็จะพอใจกับวัสดุเหล่านั้นเสียส่วนใหญ่ แต่ในสภาวะปัจจุบัน มีหลายสิ่งที่จะต้องนำมาเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกวัสดุประเภทวงกบประตูหน้าต่าง รวมถึงบานประตูหน้าต่าง เช่น สภาวะโลกร้อน อากาศเปลี่ยนแปลง ต้นไม้ตามธรรมชาติลดน้อยลง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เจ้าของบ้านรู้ถึงคุณประโยชน์ของวัสดุ ก่อนนำมาใช้งาน จะทำให้ไม่เสียใจในภายหลัง เช่น วงกบ และกรอบบาน ประเภทไม้ ปัญหา ไม้ไม่ได้อบ การยืดหดซึ่งเป็นธรรมชาติของไม้ ซึ่งการเลือกใช้วงกบและกรอบบาน ก็ต้องทำใจตั้งแต่ตัดสินใจจะใช้วัสดุประเภทนี้ เพื่อทำใจไว้ก่อน
- กรณี เลือกวงกบ ไม่ควรเป็นประเภทไม้เนื้ออ่อน
- กรณี เลือกกรอบบาน ควรเป็นไม้เนื้อแข็ง ‚ ไม่เต็ง หรือประเภท ไม้สัก ไม่เลือกประเภทไม้เนื้อแข็งเนื้อละเอียด เช่น ไม้แดง ‚ ไม้มะค่า เนื่องจากจะหด และแตกง่าย
ในสภาวะปัจจุบัน ถ้าหลีกเลี่ยงการใช้วงกบไม้ - กรอบบานไม้ได้ ก็จะลดปัญหาให้เจ้าของบ้านได้มากในภาย หลังเข้าอยู่อาศัย เช่น ภายนอก ปัจจุบันเลือกใช้ PVC ‚ ไวนิล ‚ อลูมิเนียมชนิดต่าง ๆ มีให้เลือกสรรมากมาย ลดปัญหาได้
ข้อมูลพื้นฐานประกอบการตัดสินใจ
การเลือกวัสดุควรคำนึงถึงน้ำหนักของผลิตภัณฑ์ด้วย เพราะจะมีผลต่ออาคารหรือพื้นที่ใช้งานจริง วิธีการเลือกวงกบ ‚ กรอบบานประตู-หน้าต่าง มีดังนี้
1. ควรเลือกวัสดุที่คงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ เช่น วงกบและกรอบบานภายนอก ในสภาวะโลกร้อน ไม่ยืดหด ดังนั้นควรเปลี่ยนเป็นวัสดุอื่นที่คงทนและยืดหด เช่น อลูมิเนียม
2. วงกบและกรอบภายใน เลือกวงกบไม้ บานไม้ หรือเป็นไม้สังเคราะห์จะดียี่ห้อวงกบประตู-หน้าต่าง ‚ กรอบบานประตู- หน้าต่าง ตามท้องตลาดมีดังนี้
ตราช้าง ‚ Diamond Door ‚ HAVTA ‚ WINDSOR ‚ ORO ‚ Frame tech ‚ Maxwin ‚ Vignet ‚ Amigo ‚HOFFEN ‚ K-Pro ‚ Prime wood Product ‚ ร้านค้าไม้ทั่วไป เป็นต้น
แหล่งซื้อ : โฮมโปร ‚ ร้านค้าวัสดุทั่วไป
การเลือกสี
การปลูกบ้าน 1 หลัง นอกเหนือจากสถาปนิกออกแบบรูปแบบบ้านให้สวยงาม ถูกใจ เจ้าของบ้านแล้ว ก็ยังไม่ได้หมายความว่าจะสวยสมบูรณ์แบบ แท้จริงแล้วยังมีส่วนที่ต้องปรุงแต่งด้วยเฉดสี ภายนอก-ภายใน ตามพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของตัวบ้าน หรืออาคาร ดังสุภาษิตที่ว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ยิ่งบ้านจะสวยงามได้สมบูรณ์ก็ต้องกำหนดเฉดสี เพื่อให้สอดคล้องกันรูปแบบ และความต้องการของเจ้าของบ้าน หรือตามสถาปนิกออกแบบ
ดังนั้นเทคนิคการเลือกสีให้เหมาะสมกับการใช้งาน ก่อนอื่นเราควรรู้จักประเภทสีในท้องตลาดกัน ในปัจจุบันมีหลายยี่ห้อ ซึ่งคุณภาพ และคุณสมบัติก็จะแตกต่างกันออกไป แท้จริงแล้ว มีมาตรฐานทุกประเภทอยู่แล้ว แต่การเลือกสีสักอย่างต้องเหมาะสมกับสภาพหน้างานด้วย
เทคนิคการเลือกสี ที่จะต้องนำข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณาเบื้องต้น มีดังนี้
1. ผนังฉาบปูนทั่วไปภายใน ควรเป็นสีน้ำอะครีลิคทั่วไป ปัญหาจะน้อย เนื่องจากเมื่อเปิดไฟแล้วสีจะไม่สะท้อน สาเหตุ เพราะการฉาบผนังทั่วไป มีปัญหาเรื่องแตกร้าว โป๊ะขัด และผนังอาจจะไม่เรียบเหมือนในอุดมคติเสมอไป เนื่องจากแต่ละหลัง ใช้แรงงานหลายคน ทำงานร่วมกัน
2. ผนังที่ลูกค้าต้องการสีกึ่งเงาหรือสีเงา ควรจะต้องเตรียมพื้นผิว ให้ราบเรียบ โดยทั่วไปต้องฉาบด้วยปูนผิวบาง เพื่อเตรียมพื้นผิว ค่าใช้จ่ายแพงกว่าปรกติ ลูกค้าต้องเตรียมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ได้เลย
3. การเลือกสีเพื่อป้องกันการแตกร้าว ก็จะเป็นผลดี เนื่องจากสภาวะปัจจุบันผนังแตกร้าวจะเกิดจากอากาศที่ร้อน ลมแรง และการจัดเตรียมวัสดุ ‚ ฝีมือแรงงาน ทั่วไปใช้เวลา 1 ปี จึงจะลดเรื่องแตกร้าวลง ผนังเซตตัวเต็มที่ จะมีผลอย่างมากเรื่องของผนังแตกร้าว เนื่องจากอากาศทุกสภาพอากาศ จะเกิดปัญหาทุกหลัง ดังนั้นการแก้ไขด้วยการใช้สีช่วย ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยปกปิดรอยร้าวได้ ก็จะทำให้บ้านสวยงามยิ่งขึ้น
4. การเลือกเฉดสีให้สอดคล้องกับวัสดุ ก็ต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
- ไม้เนื้อแข็ง ควรใช้สีน้ำมัน
- ไม้สัก ‚ ไม้มะค่า ‚ ไม้แดง สามารถใช้ได้ทั้งสีน้ำมัน และสีธรรมชาติ แต่ต้องพิจารณาว่า ส่วนดังกล่าว เป็นภายในหรือภายนอก การทนทานต่างกัน ใช้ต่างประเภทก็จะเสื่องสภาพเร็ว
- ประเภทไม้สังเคราะห์ ‚ ไม้คอนวูด ‚ เฌอร่า ‚ ดอริก ควรเป็นสีน้ำอะครีลิค
- ฝ้าภายนอก ไม้จริงควรเป็นสีน้ำมัน
- ฝ้าภายใน ควรเป็นสีน้ำอะครีลิค
- ไม้บันได ควรใช้สีธรรมชาติ หรือสีน้ำมัน
5. สีในปัจจุบันนี้ มีการพัฒนาถึงขั้นที่สามารถระบายความชื้นได้ เพื่อป้องกันสีหลุดล่อน หรือเกิดเชื้อรา
การเลือกเฉดสีของอาคาร
1. ควรเลือกประเภทชนิดของสีให้สอดคล้องกับการใช้งาน
2. การเลือกเฉดสีมากหรือหลายสี เป็นการเพิ่มต้นทุน เช่นเดียวกับการเพิ่มสเปคสี
3. การเลือกสีควรคำนึงถึงสภาพใช้งาน เช่น ภายนอก ทนแดดเลีย ยืดหยุ่นสูง เพื่อป้องกันรอยร้าวและป้องกันเชื้อรา
4. การเลือกสีทาภายใน ควรเลือก เฉดสีโทนสว่าง สบายตา หรือขึ้นอยู่กับเจ้าของบ้านชอบ เนื่องจากมีผลอย่างมากเมื่อเข้าอยู่อาศัย ขอแนะนำให้ใช้ชนิดและประเภทของสี เช่นสีกึ่งเงา การจัดเลือกสีกึ่งเงา จะต้องจัดเตรียมพื้นผิวเป็นกรณีพิเศษกว่าธรรมดาทั่วไป เนื่องจากสีประเภทนี้จะฟ้องให้เห็นความไม่เรียบร้อยของพื้นผิวทั้งหมดออกมาได้ชัด เมื่อโดนแสงสว่างหรือแสงไฟ
ข้อดีของสีประเภทนี้ ยืดหยุ่นได้ดี ปกปิดรอยแตกร้าว และบางประเภทสามารถเช็ดล้างได้ บางประเภทสามารถคายความร้อน หรือความชื่นได้ อายุการใช้งานคงทน
ยี่ห้อสีทาบ้านภายใน-ภายนอก และสีทาไม้ ตามท้องตลาดในปัจจุบันมีดังนี้
TOA ( 4 SEASONS‚ SUPER SHIELD) ‚ CAPTAIN ‚ ICI ‚ BEGER ‚ โจตัน ‚ บอสนี่ ‚ NIPPON PAINT ‚ JBP ‚ HATO ‚ SUPET COTE ‚ DD ‚ NOC ‚ DENZO ‚ TORA ‚ IEC ‚ CAMGLAZE WOOFTECT ‚ CAPTAIN เป็นต้น
แหล่งซื้อ : โฮมโปร ‚ ตัวแทนจำหน่าย ‚ ร้านค้าวัสดุทั่วไป
การก่อ-ฉาบ เทคนิคการเลือกวัสดุผนังก่อฉาบ
ในปัจจุบันนี้การก่อสร้าง มีการพัฒนาในทุกๆ ด้านพร้อมกัน รวมถึงผนังอาคาร บ้านพักอาศัย และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ วัสดุผนังทั่วไปที่ใช้กัน แยกเป็นชนิดได้ดังนี้ ผนังคอนกรีตสำเร็จรูป ‚ อิฐบล็อก ‚ อิฐมอญ ‚ อิฐมวลเบา ซึ่งแต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป
งานก่อ ในเรื่องของราคา อิฐมวลเบาจะมีราคาแพงกว่าวัสดุชนิดอื่นๆ จากการเปรียบเทียบเบื้องต้น อิฐมวลเบาจะมีราคาแพงกว่า อิฐมอญทำมือ 1.5 เท่า ของอิฐมอญ และอิฐมอญจะมีราคาแพงกว่าอิฐบล็อก 1 เท่า ของอิฐบล็อก ส่วนผนังคอนกรีตสำเร็จรูป จะมีราคาแพงกว่าวัสดุอื่น ในส่วนของราคา แต่ส่วนของค่าแรงนั้น จะถูกกว่าวิธีก่ออิฐประเภทอื่น เนื่องจากสามารถหล่อแบบในโรงงาน และนำมาติดตั้งได้เลย ดังนั้น สามารถลดระยะเวลาก่อสร้าง และปัญหาวัสดุเสียหายได้
* อิฐมวลเบา
ข้อดี
- น้ำหนักเบา
- ลดค่าแรง
- สามารถควบคุมวัสดุปูนทรายได้
- ใช้ปูนซีเมนต์ ประเภทปูนกาว โดยรวมปริมาณน้อยกว่าปูนก่อทั่วไป
- ลดน้ำหนักให้ตัวอาคาร และโครงสร้างทั่วไป
ข้อเสีย
- รับน้ำหนักได้น้อย
- การเจาะผนังเพื่อแขวนอุปกรณ์ต่าง ๆ คุณสมบัติด้อยกว่าผนังก่ออิฐมอญ
- ราคาสูง
* อิฐมอญ
ข้อดี
- ใช้กันอย่างแพร่หลาย เป็นที่ยอมรับ
- ราคาถูก
- มีความแข็งแรง ทนต่อทุกสภาพอากาศ
- สามารถใช้กับงานก่อสร้างทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ รับน้ำหนักได้ดี
- หาซื้อได้ง่าย มีโดยทั่วไป
ข้อเสีย
- ค่าแรงงานสูง
- ใช้วัสดุปูนทราย จำนวนมาก
- ในแต่ละวัน ก่ออิฐได้ปริมาณน้อยกว่า อิฐมวลเบา
- ก่อนก่อ จะต้องใช้น้ำฉีดเพื่อควบคุมความชื้น อิฐจะได้ดูดซึมน้ำจากปูนน้อยที่สุด
* อิฐบล็อก
ข้อดี
- ราคาถูก
- สามารถควบคุมตามหน้าปูนฉาบได้ดี
- ความแข็งแรงดี กรณี ทำถูกต้องตามขั้นตอน
- ในแต่ละวันก่ออิฐได้ปริมาณมากกว่า เมื่อเทียบกับอิฐมอญ
ข้อเสีย
- สิ้นเปลืองวัสดุปูนก่อ
- กรณีก่อแล้วกรอกปูนไม่เต็ม ความแข็งแรงจะลดลง
- ถ้ามีงานก่อแตกร้าว น้ำสามารถซึมผ่านได้
- อิฐบล็อกมีความพรุนมากกว่าอิฐมอญ การเจาะเพื่อทำประโยชน์ต่างๆ จะไม่แข็งแรง
* ผนังคอนกรีตสำเร็จรูป
ข้อดี
- มีความแข็งแรงดีมาก กรณีติดตั้งถูกต้องตามคำแนะนำที่วิศวกร ออกแบบกำหนดไว้
- สามารถติดตั้งได้รวดเร็ว
- สามารถลดเวลาในการก่อสร้างได้มาก
- สามารถลดค่าแรงได้มาก เมื่อเทียบกับการก่ออิฐฉาบปูนทั่วไป
ข้อเสีย
- ไม่สามารถต่อเติมภายหลังได้
- ต้องทำในปริมาณมากๆ จึงจะคุ้มค่าแบบ และเครื่องจักร
- ไม่สามารถต่อเติมระบบไฟฟ้าได้ โดยระบบฝังผนัง
- ต้องควบคุมคุณภาพการติดตั้ง โดยผู้ชำนาญการ
งานฉาบ
ในปัจจุบัน อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว โลกมีการเปลี่ยนแปลงไป เกิดสภาวะโลกร้อนมากขึ้น อากาศเปลี่ยนแปลงง่าย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเย็น ส่งผลให้การออกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการฉาบผนัง ในวงการก่อสร้าง มีการพัฒนาไปมาก จากที่ผ่านมา รวมถึงช่วงเวลาที่ผ่านนั้น ผนังทั่วไปมีการแตกร้าวเป็นพฤติกรรมปรกติอยู่แล้ว และส่วนที่มองข้ามไม่ได้เลย นอกเหนือ จากเทคนิคการฉาบปูนทั่วไป เนื่องจากแรงงานและช่างแต่ละคน ได้รับการเรียนรู้ ลองผิดลองถูก เพราะช่างทั่วไป ไม่ได้รับการแนะนำจากทีมวิศวกร หรือสถาปนิกด้วยซ้ำไป จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ดังนั้นปัญหาที่มักจะพบกันบ่อย ๆ จากช่าง คือ ผนังราดน้ำไม่ทั่วถึงบ้าง ลงฟองเร็วเกินไปบ้าง น้ำไม่สะอาด ทรายไม่สะอาด ฉาบแล้วไม่ได้บ่มบ้าง ผนังเซตตัวบ้าง แต่ยังมีส่วนที่ช่างยังไม่พูดถึงอีกอย่างคือ อัตราส่วนที่ถูกต้องตามหลัก
เมื่อเกิดปัญหานี้ ทางผู้ผลิตจึงได้ พัฒนา จากที่ผ่านมา นำปูนมาผสมทราย ซีเมนต์ขาว และน้ำ แต่ปัจจุบัน พัฒนามาเป็น ปูนซีเมนต์สำเร็จรูป สามารถผสมน้ำใช้ได้ทันที คุณภาพได้ แต่ถึงอย่างไร ก็ต้องตรวจสอบโดยวิศวกร สถาปนิก หรือโฟร์แมน อย่างใกล้ชิด ซึ่งทางบริษัท แฮปปี้ โฮม บิวเดอร์ จำกัด ให้ความสำคัญในส่วนนี้มาก
ทางบริษัทของเราจึงจัดวิศวกร ‚ สถาปนิก ‚ โฟร์แมน ตรวจสอบใกล้ชิด รวมถึงเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นกระจกสะท้อนให้บริษัทได้เป็นอย่างดี โดยสามารถดูได้จากผลงานที่ผ่านมา
ยี่ห้อปูนก่อ-ปูนฉาบ ตามท้องตลาดในปัจจุบันมีดังนี้
ปูน TPI ( แดง-เขียว ) ‚ ปูนเสือ ‚ ปุนตราดอกบัว ‚ ปูนตราภูเขา ‚ มอร์ตาร์ ‚ ปูนอินทรีย์ ‚ ปูนราชสีห์ ‚ ซีเม็กซ์ ‚ ปูนตราแรด ‚ ปูนตราลูกดิ่ง ‚ ปูนตราจิงโจ้ ‚ ปูนตราเพชร ‚ ปูนตราช้าง ‚ ปูนตราพญานาค เป็นต้น
แหล่งซื้อ : โฮมโปร ‚ ตัวแทนจำหน่าย ‚ ร้านค้าวัสดุทั่วไป
หน้าที่เข้าชม | 174,713 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 128,547 ครั้ง |
เปิดร้าน | 3 พ.ค. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 20 ต.ค. 2568 |